รังสี UV หรือ ULTRAVIOLET คืออะไร
อันดับแรกต้องเข้าใจว่า เราไม่สามารถมองเห็น UV ด้วยตาเปล่าได้ และ UV ก็ไม่ใช่แสงแดด เพียงแต่กำเนิดจากที่เดียวกันคือดวงอาทิตย์ ดังนั้น ถึงเราจะไม่เห็นแสงแดด ก็ใช่ว่าจะไม่มีรังสี UV นะครับ (เราจึงต้องปกป้องผิวของเราอยู่เสมอนั่นเอง)
รังสี UV ที่สามารถผ่านโอโซนมายังพื้นโลกได้คือ UVA1 UVA2 และ UVB ในบรรดา 3 ชนิดนี้ UVA1 อันตรายที่สุด เพราะสามารถทะลุเสื้อผ้า กระจกและผนังห้องได้ มีพลังทำลายลึกถึงผิวชั้นไขมัน ทำให้ผิวหนังอ่อนแอ เกิดฝ้า ริ้วรอย และก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย ส่วน UVB สามารถทำลายผิวได้แค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น แต่ก็สามารถทำให้ผิวคล้ำและเกิดจุดด่างดำได้
แล้ว SPF ล่ะ?
SPF คือ เกณฑ์ในการวัดประสิทธิภาพของสารกันแดด เช่น ถ้าปกติเราโดนแดด 20 นาที ผิวจะเริ่มไหม้ เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวของเราจากแดดได้อีก 15 เท่า คือ 15x20 = 300 นาที หรือ 5 ชั่วโมง ผิวจึงจะเริ่มไหม้นั่นเอง
นอกจากนี้ SPF ยังสามารถบอกปริมาณการดูดซับรังสี UVB ของครีมกันแดดได้อีกด้วย
โดย SPF 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
SPF 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
SPF 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
SPF 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
SPF 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
SPF 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
SPF 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
PA คืออะไร? เพิ่งเคยได้ยิน
PA (Protection grade of UVA) คือ ค่าวัดประสิทธิภาพการป้องกัน UVA อย่างไม่เป็นทางการ แต่ก็ทำให้เราพอรู้ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่เราใช้สามารถป้องกัน UVA ได้ระดับไหน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด
เข้าใจความหมายของตัวย่อเหล่านี้แล้ว เวลาเลือกซื้อครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก็ควรเลือกซื้อสูตรที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเรานะครับ อย่างเช่น NIVEA MEN EXTRA BRIGHT SUPER SERUM SPF 50 นี้ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ยังปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ตลอดทั้งวัน และป้องกัน UVA ได้ในระดับ PA+++ อีกด้วย จะอยู่ในห้องหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งก็มั่นใจเหมือนมีเกราะปกป้องผิวอยู่เสมอครับ!โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่